tag:blogger.com,1999:blog-89007164344155671462024-02-08T11:09:33.021-08:00อาหารของคนท้องเทพโลหิตhttp://www.blogger.com/profile/01163513972887619806noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-8900716434415567146.post-6106332107291466352010-02-17T19:58:00.000-08:002010-02-17T20:05:40.612-08:00<a href="http://www.gourmetthai.com/newsite/cms/upload/content/photo/pic/CONT410Healthcare91_L.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 287px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://www.gourmetthai.com/newsite/cms/upload/content/photo/pic/CONT410Healthcare91_L.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#ff6600;">ในปัจจุบัน แต่ละครอบครัวจะมีลูกก็เพียง 1 หรือ 2 คนเท่านั้น ลูกที่เกิดมาจึงควรมีความสมบูรณ์ที่สุด เพื่อที่จะเป็นที่พึ่งของพ่อและแม่ในการสืบทอดตระกูล หรือสืบทอดธุรกิจต่อไปในภายภาคหน้า<br />ความรู้ในปัจจุบันทำให้ทราบว่า ความสมบูรณ์ทั้งของพ่อและแม่ก่อนตั้งครรภ์ มีส่วนที่ทำให้ลูกในครรภ์มีความสมบูรณ์อย่างเต็มที่ ก่อนจะเป็นพ่อ ฝ่ายชายจึงควรดูแลสุขภาพของตนเองให้ดี ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ในทางร่างกาย ควรมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่วมกับการรับประทานอาหารที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้ง ข้าว นม เนื้อสัตว์ ผัก และอาหารทะเล เป็นประจำ และเมื่อมีการพักผ่อนที่เพียงพอร่วมด้วย ก็จะมั่นใจได้ว่า สเปิร์มของฝ่ายชายจะสมบูรณ์อย่างเต็มที่<br />สำหรับฝ่ายหญิงเพื่อการเตรียมตัวเป็นแม่ที่สมบูรณ์ ควรมีการพักผ่อนและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน อาจจะเลือกการว่ายน้ำ หรือการเดินรอบสวน วันละ 1/2 -1 ชั่วโมง ก็จะทำให้ร่างกายและมดลูกแข็งแรง พร้อมที่จะให้เป็นที่อยู่ของลูกในครรภ์ตลอดการตั้งครรภ์ 9 เดือน โดยมีการรับประทานอาหารที่ครบทุกหมู่เช่นกัน โดยเฉพาะผักใบเขียว เช่น คะน้า ควรรับประทานอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ผักคะน้ามีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่าผักชนิดอื่นตรงที่มี แคลเซียม วิตามินซี กรดโฟลิก และกากใยอาหารสูง<br />โดยเฉพาะกรดโฟลิกนั้น มีความจำเป็นอย่างมากในกรณีที่ไข่ที่ถูกผสมจะมีการสร้างเซลล์ประสาทและเซลล์สมอง ประมาณวันที่ 10 หลังจากนั้น ซึ่งจำเป็นต้องมีกรดโฟลิกที่เพียงพอที่จะทำให้การสร้างนี้สมบูรณ์ โดยระยะที่สร้างระบบสมองและเซลล์ประสาทนี้จะเป็นช่วงที่ฝ่ายหญิงยังไม่รู้ตัวว่าท้อง จึงมักจะไม่ได้รับยาบำรุงครรภ์ การเตรียมพร้อมโดยมีกรดโฟลิกเต็มที่ก่อนการตั้งครรภ์จึงมีความจำเป็นที่สุด<br />ภาพรวมสุขภาพของฝ่ายหญิงก่อนตั้งครรภ์ก็มีส่วนช่วยให้ลูกในครรภ์มีความสมบูรณ์เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนักตัวไม่ควรจะมากไปหรือน้อยเกินไป เพราะในขณะนี้ หุ่นที่เป็นที่นิยมของหญิงสาวนั้นมักจะมีน้ำหนักตัวน้อยเกินไป ในกลุ่มดาราหรือนางแบบที่เราเรียกว่าหุ่นดีนั้น ทางการแพทย์ประเมินแล้วพบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ขาดอาหาร ซึ่งมีผลเสีย คือ มดลูกมักจะไม่แข็งแรง มีโอกาสแท้งหรือคลอดก่อนกำหนดได้ง่าย และมีส่วนทำให้ทารกที่คลอดออกมาไม่ค่อยแข็งแรง ในอีกซีกหนึ่ง ถ้ามีน้ำหนักตัวมากเกินไปก็อาจจะทำให้รังไข่ไม่สมบูรณ์ได้เช่นกัน ซึ่งอาจจะส่งผลให้มีบุตรยากหรือทำให้แท้งลูกในขณะตั้งครรภ์อ่อนๆ ได้ง่าย จึงควรดูแลน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์พอดีก่อนจะตั้งครรภ์ นอกเหนือจากการรับประทานอาหารให้ครบหมู่อย่างสม่ำเสมอตามที่กล่าวมาข้างต้น<br />ใน 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ หญิงมีครรภ์มักจะแพ้ท้องมากบ้าง น้อยบ้างทำให้รับประทานอาหารได้น้อยและอาจไม่ครบทุกชนิด จึงช่วยตอกย้ำอีกครั้งถึงความจำเป็นที่ร่างกายจะต้องสมบูรณ์ก่อนจะมีครรภ์ และไม่ต้องกังวลว่าทารกในครรภ์จะขาดอาหาร เพราะในช่วง 3 เดือนแรกนั้น ทารกมีความต้องการของสารอาหารไม่มาก แต่ขอให้มีครบทุกชนิด จึงนำสารอาหารที่มาจากตัวแม่ได้ เพราะใช้เพียงเล็กน้อย ในช่วง 3 เดือนแรกนี้ หญิงมีครรภ์จึงควรประคับประคองการรับประทานให้ครบหมู่ไปจนกว่าจะเลิกการแพ้ท้อง โดยที่น้ำหนักตัวอาจจะเพิ่มขึ้นเพียง 1-3 กิโลกรัมก็ได้<br />ใน 3 เดือนที่สองหรือการตั้งครรภ์สัปดาห์ที่ 12-24 นั้น ทารกในครรภ์มีความจำเป็นต้องได้รับสารอาหารต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ หญิงมีครรภ์จึงควรรับประทานอาหารที่หลากหลาย ครบทุกหมู่ เพื่อเป็นการเข้าใจง่าย จึงอยากจะสรุปว่า ในแต่ละวันควรดื่มนมวัวอย่างน้อยวันละ 2 แก้ว โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนมที่มีกรดโฟลิกสูงก็ได้ ควรมีผัก เนื้อสัตว์ ผลไม้ และข้าว ครบ 3 มื้อ และเมื่อครบสัปดาห์ที่ 24 ของการตั้งครรภ์ ควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาประมาณ 5-8 กิโลกรัม<br />ใน 3 เดือนสุดท้ายหรือช่วงการตั้งครรภ์สัปดาห์ที่ 25-40 นั้น เป็นช่วงที่ทารกในครรภ์ต้องการสารอาหารต่างๆ รวมทั้งพลังงานจากอาหารมากที่สุด ช่วงนี้เป็นช่วงการสร้างขนาดตัว จึงมีความจำเป็นที่ทารกจะต้องได้รับ แป้ง โปรตีน และไขมัน ที่มากกว่าช่วง 6 เดือนแรก หญิงมีครรภ์ในช่วงนี้จึงควรเพิ่มปริมาณข้าว เนื้อสัตว์ และน้ำมันจากอาหารมากกว่าปกติ และควรจะเพิ่มการดื่มนมเป็นวันละ 3 แก้วในช่วงสุดท้ายนี้ด้วย เมื่อเพิ่มการรับประทานตามหลักเกณฑ์นี้ ในเดือนที่ 7 และ 8 ควรมีน้ำหนักตัวขึ้นมาประมาณ 3 กิโลกรัม และเดือนที่ 9 ควรเพิ่มขึ้นประมาณ 4 กิโลกรัม โดยสรุป 3 เดือนสุดท้าย ควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 10-12 กิโลกรัม<br />จะเห็นได้ว่า เพื่อความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ จึงควรเตรียมตัวทางด้านสุขภาพของทั้งฝ่ายสามีและภรรยา มีการออกกำลังกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ ร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีสารอาหารต่างๆ ครบถ้วน โดยเฉพาะในช่วงการตั้งครรภ์ การรับประทานอาหารที่มากขึ้นนั้นควรมีการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวอย่างพอดี ตามระยะเวลาการตั้งครรภ์และตามความต้องการของทารกในครรภ์ เพื่อที่จะให้ทารกที่คลอดออกมาสมบูรณ์พร้อมในทุกๆ ด้าน</span></div>เทพโลหิตhttp://www.blogger.com/profile/01163513972887619806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8900716434415567146.post-65204940354565734182010-02-17T19:44:00.000-08:002010-02-17T20:11:06.701-08:00<a href="http://content.mthai.com/upload_images/ke/hh-pignew-048.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px" alt="" src="http://content.mthai.com/upload_images/ke/hh-pignew-048.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-size:180%;color:#cc33cc;">สูตรลดน้ำหนักของสมเด็จพระเทพฯ<br /><br />**ก่อนรับประทานอาหารควรดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว**<br /><br />วันแรก<br />มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือโยเกริต์ มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง มื้อเย็น : สลัดผัก<br /><br />วันที่สอง<br />มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง มื้อเย็น : โยเกริต์<br /><br />วันที่สาม<br />มื้อเช้า : โยเกริต์หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น<br /><br />วันที่สี่<br />มื้อเช้า : ขนมปัง 1 แผ่น น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น มื้อเย็น : โยเกริต์<br /><br />วันที่ห้า<br />มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น มื้อเย็น : สลัดผัก<br /><br />วันที่หก<br />มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : ปลานึ่งหรือปลาเผา มื้อเย็น : นมสด<br /><br />วันที่เจ็ด<br />มื้อเช้า : ข้าวสวย 1 ทัพพี และหมูย่าง 1 ชิ้น หรือ ข้าวสวย 1 ทัพพี และไข่ต้ม 1 ลูก มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น<br /><br />วันที่แปด<br />มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น : ให้รับประทานอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ถ้าอยากลดน้ำหนักต่อให้เริ่มทำตั้งแต่วันแรก<br /></span></div>เทพโลหิตhttp://www.blogger.com/profile/01163513972887619806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8900716434415567146.post-7335000116844676502010-02-10T20:30:00.000-08:002010-02-10T20:44:05.662-08:00<a href="http://www.vcharkarn.com/uploads/156/156381.jpg"><img style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 381px; CURSOR: hand; HEIGHT: 374px" alt="" src="http://www.vcharkarn.com/uploads/156/156381.jpg" border="0" /></a><br /><div align="center"><br /><span style="font-size:180%;color:#ff6600;">ในสังคมปัจจุบันนี้เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่คนส่วนใหญ่มิได้ให้ความสำคัญ<br />กับอาหารเช้า เนื่องจากต้องเร่งรีบแข่งกับเวลาเพื่อไปเรียน หรือ ไปทำงาน<br />คนไทยเราจะให้ความสำคัญกับอาหารเย็น เน้นว่าเป็นมื้อที่ต้องรับประทาน<br />อาหารหนักๆ มากกว่ามื้อกลางวัน ส่วนมื้อเช้านั้นบางคนข้ามไปเลย<br />บางคนก็ดื่มกาแฟเพียง 1 ถ้วยเท่านั้น สังเกตให้ดีจะพบว่าคุณจะรู้สึกไม่สดชื่น<br />กระปรี้กระเปร่า ถ้ามื้อเช้าคุณไม่ได้ให้สารอาหารที่ร่างกายต้องการ คือ<br />อาหารโปรตีนสูงและไขมันอย่างพอเพียง อาหารเช้าที่หนักเกินไปก็เป็นเรื่อง<br />ที่ไม่ถูกต้อง ร่างกายต้องการเพียงสารอาหารที่ครบถ้วนในปริมาณไม่มากนัก<br />เพื่อที่คุณจะได้มีกำลังวังชา สมองปลอดโปร่ง กระปรี้กระเปร่า พลังงานจะอยู่<br />ในร่างกายคุณเป็นเวลานานและทำให้คุณไม่หิวบ่อยถ้าได้รับประทานอาหารเช้าที่ดี</span></div>เทพโลหิตhttp://www.blogger.com/profile/01163513972887619806noreply@blogger.com0